หลักการและเหตุผล
การใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational drug use) นั้น องค์การอนามัยโลกให้คำจัดความการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (rational drug use) ไว้ คือ "ผู้ป่วยได้รับยาที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพ โดยใช้ยาในขนาดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ด้วยระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสม และมีค่าใช้จ่ายต่อชุมชนและผู้ป่วยน้อยที่สุด"
การดื้อยาต้านจุลชีพเป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขระดับโลก ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ ดื้อยาในหลายประเทศทั่วโลกประมาณปีละ 700,000 ราย หากปัญหาการดื้อยายังไม่ได้รับการแก้ไข มีการคาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2050 จะมีคนเสียชีวิตทั่วโลกจากการดื้อยาจำนวนสูงถึง 10 ล้านคน โดยทวีปเอเชียจะมีคนเสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในโลก สูงถึง 4,730,000 คน รองลงมาคือ แอฟริกา มีจำนวน 4,150,000 คน ทำให้เกิดผลกระทบเชิงเศรษฐกิจประมาณ 3,500 ล้านล้านบาท จากผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าหลายประเทศที่เกิดปัญหาการดื้อยาของเชื้อโรคในอัตราสูง ได้มีการกำหนดเกณฑ์การใช้ยาต้านจุลชีพที่มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียหลายกลุ่มเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาการดื้อยาเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทย จากการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพและเศรษฐศาสตร์จากการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพจากข้อมูลทุกติยภูมิของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวน 1,023 แห่ง พบจำนวนการดื้อยาต้านจุลชีพ 87,751 ครั้ง และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 38,481 ราย ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการใช้ยาต้านจุลชีพประมาณ 2,539 ถึง 6,054 ล้านบาท นอกจากนี้ จากรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาในปี พ.ศ. 2558 พบว่า กลุ่มเด็กที่มีอายุระหว่าง13 เดือน ถึง 12 ปี มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาจำนวน 3,157 ฉบับ (ร้อยละ 7.02)ซึ่งมีจำนวนมากกว่าเด็กวัยอื่น โดยยาปฏิชีวนะที่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์สูงสุด คือ ยา ceftriaxone รองลงมา คือ amoxycillin ซึ่งปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพและการได้รับผลกระทบจากอาการไม่พึงประสงค์ เป็นผลจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียอย่างไม่สมเหตุผล การสัมผัสยาปฏิชีวนะตั้งแต่เนิ่น ๆ สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหอบหืดในวัยเด็ก โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ โรคซีลิแอค น้ำหนักเกิน โรคอ้วนและโรคสมาธิสั้น (อัตราส่วนความเสี่ยงอยู่ระหว่าง 1.2 ถึง 2.89, P< 0.05 ทั้งหมด) ความสัมพันธ์นี้ได้รับอิทธิพลจากจำนวน ชนิดและระยะเวลาของการสัมผัสยาปฏิชีวนะ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กที่ได้รับยาปฏิชีวนะยังมีแนวโน้มที่จะมีอาการหลายอย่างร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับยาปฏิชีวนะหลายขนาน กรณีที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์การสั่งใช้ยาปฏิชีวนะในเด็ก สมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นอีกทางเลือก
เภสัชกรเป็นวิชาชีพหนึ่งที่มีความสำคัญในการดูแล ป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสุขภาพรวมถึงปัญหาการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้แก่ ยา เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อให้ผู้ป่วยได้ประโยชน์สูงสุด จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพควบคู่ไปกับความปลอดภัย ปัจจุบันงานวิจัยมีบทบาทต่อการพัฒนางานของเภสัชกร ความต้องการในด้านองค์ความรู้ในการทำวิจัยและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมีสูงขึ้น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพงาน นอกจากนี้ยังนำไปสู่การเผยแพร่ผลงานวิจัย เป็นการต่อยอดและเติมเต็มเภสัชกรในการทำวิจัย เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพเภสัชกรรม การเพิ่มองค์ความรู้ให้กับเภสัชกรทั้งในด้านการใช้ยาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรในเด็ก การนำงานประจำที่ทำอยู่มาเขียนเป็นผลงานวิจัยเผยแพร่ มีความจำเป็นที่ต้องพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่องให้กับบุคคลากรทางเภสัชกรรม