โครงการประชุมวิชาการ เรื่อง Towards Sustainable Access to High-Cost Care:  What’s Working, What’s Missing?
  
    
      
        | ชื่อการประชุม | 
          | 
        โครงการประชุมวิชาการ เรื่อง Towards Sustainable Access to High-Cost Care:  What’s Working, What’s Missing? | 
      
      
        | สถาบันหลัก | 
          | 
        คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | 
      
      
        | รหัสกิจกรรม | 
          | 
        1001-2-000-059-11-2568 | 
      
      
        | สถานที่จัดการประชุม | 
          | 
        ณ โรงแรม อีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพมหานคร | 
      
      
        | วันที่จัดการประชุม | 
          | 
        
					
			17		-18        พ.ย. 2568			         | 
      
      
      
      
        | ผู้จัดการประชุม | 
          | 
        คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | 
      
      
      
        | กลุ่มเป้าหมาย | 
          | 
        เภสัชกรบริษัทยา เภสัชกรร้านยา และเภสัชกรโรงพยาบาล และผู้สนใจทั่วไป จำนวน 80 คน | 
      
      
        | หน่วยกิตการศึกษาต่อเนื่อง | 
          | 
        6.75  หน่วยกิต | 
      
    
   
  
    หลักการและเหตุผล
    หลักการและเหตุผล
      
       สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสิทธิการรักษาที่ถูกจัดตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2545 โดยครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทย ทำให้ประชากรชาวไทยได้เข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงพยายามเพิ่มการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง จึงมีการประยุกต์ใช้การประเมินเทคโนโลยีทางสุขภาพ (Health Technology Assessment (HTA)) โดยได้ก่อตั้งโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (Health Intervention and Technology Assessment Program (HITAP)) ในปีพ.ศ. 2550 เพื่อประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และวิเคราะห์ผลกระทบงบประมาณหากนำยาเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติและให้มีการเบิกจ่ายยาในประเทศไทย เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับช่วยในการตัดสินใจเชิงนโยบายร่วมกับข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา
       ในปัจจุบัน การรักษารวมถึงยาส่วนใหญ่มีราคาสูงขึ้นร่วมกับงบประมาณของประเทศที่มีจำกัด ทำให้การรักษาหรือยาบางส่วนที่มีราคาแพงไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และมีผลกระทบทางงบประมาณที่สูง ส่งผลให้การรักษานั้นไม่ถูกบรรจุเข้าไปในบัญชียาหลักแห่งชาติและไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ทำให้ความจำเป็นทางสุขภาพที่ไม่ได้รับการตอบสนอง (Unmet health need) เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากค่าความเต็มใจที่จะจ่าย (Willingness-to-pay (WTP) threshold) ของประเทศไทยอยู่ที่ 160,000 บาทต่อปีสุขภาวะ (Quality-adjusted life year (QALY)) จึงต้องมีการต่อรองราคายา เช่น ลดราคายา เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้มากขึ้น โดยการลดราคายาอาจสูงถึงร้อยละ 90 เพื่อให้ยาหรือการรักษามีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ส่งผลให้มียาราคาแพงเพียง 9 ชนิดเท่านั้นที่ได้ถูกบรรจุเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติในปีพ.ศ. 2559 เมื่อกระบวนการปกติในการพิจารณายาเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติอาจทำให้เกิดความล่าช้าและอาจทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาราคาแพงล่าช้า จึงจำเป็นต้องพัฒนาแนวทางเพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาและการรักษาราคาแพงในประเทศ โดยต้องพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
       
       ในการนี้ ภาควิชาเภสัชศาสตร์สังคมและบริหาร คณะเภสัชศาสตร์ และวิทยาลัยการบริหารเภสัชกิจแห่งประเทศไทย เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มความเข้าใจในเรื่องการเข้าถึงการรักษาราคาแพงในประเทศไทยร่วมกับพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาสำหรับประเทศไทยในการเพิ่มการเข้าถึงการรักษาราคาแพงให้แก่ผู้ป่วย จึงได้นำเสนอการจัดอบรมวิชาการ ในรูปแบบบรรยาย ทั้งนี้เนื้อหาจะครอบคลุมความรู้พื้นฐาน และความรู้แนวลึก โดยมีคณาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญ เข้าร่วมเป็นวิทยากรการบรรยาย และการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 
   
  
    วัตถุประสงค์
    วัตถุประสงค์
1. อธิบายหลักการพื้นฐานของการเพิ่มการเข้าถึงการรักษาราคาแพงในประเทศไทย 
2. ความสำคัญและกระบวนการเพิ่มการเข้าถึงการรักษาราคาแพงในไทยและต่างประเทศ
3. อภิปรายสถานการณ์ปัจจุบัน ช่องว่าง และการแก้ปัญหาเรื่องการรักษาราคาแพงในประเทศไทย
4. อภิปรายทิศทางในอนาคตของการเพิ่มการเข้าถึงการรักษาราคาแพงในประเทศไทย
   
  
  
      
    วิธีสมัครการประชุม
    ผู้สนใจเข้าร่วมประชุมสามารถเลือกลงทะเบียนตามช่วงเวลาและเนื้อหาที่สนใจ ได้ที่เว็บไซต์ของหน่วยการศึกษาต่อเนื่อง ฝ่ายวิชาการ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (www.ce.pharm.chula.ac.th) โทรศัพท์ 02-218-8283,8481 หรือ E-mail: CE@pharm.chula.ac.th 
อัตราค่าลงทะเบียน
- ค่าลงทะเบียนแบบ Early bird (ชำระภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568) : ท่านละ 5,000 บาท
- ค่าลงทะเบียนปกติ (ชำระตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป) : ท่านละ 5,900 บาท